อินโดนีเซีย 2017

ตอนแรกก็ขี้เกียจเขียน ว่าจะแค่อัพรูปนิดหน่อยพอ ..  แต่ยิ่งใกล้วันเดินทางยิ่งมีเรื่องตื่นเต้นขึ้นทุกที จนไม่ไหวล่ะ ขอเขียนละกัน

เริ่มจากทริปนี้วางแผนง่อยๆว่าจะไป 4 คน …จนตอนหลังเหลือไป 3 คน แถมยังมีแววว่าจะเหลือน้อยกว่านั้นอีก

 

เริ่มจาก .. อีกสองวันก่อนเดินทาง

เมื่อเสี่ยเบิร์ดไปแลกเงินรูเปีย (IDR) .. ก็พบว่าร้านที่ไปแลกไม่มีเงินอินโดนีเซีย …

ข้าพเจ้าก็โทรไปร้านที่แลกประจำตรงนานา ร้านก็บอกว่ามีอยู่ประมาณ 8000 กว่าบาทไทย (ค่าทัวร์โบรโมต่อคนก็จะ 7000 บาทอยู่แล้ว) สรุปว่าไม่พอ ก็เลยไม่ไปแลก

ดีที่เสียเบิร์ดหาร้านแลกได้อีกร้าน เป็น Super Rich ไม่แน่ใจว่าสีอะไร เลยรอดตัวไป … สรุปได้ว่าเงินอินโดไม่ได้หาง่ายๆนะ ถ้าแย่จริงๆอาจจะต้องแลก USD ไปแล้วไปแลกที่นู่นอีกที

#เงินรูปีเป็นของอินเดียแต่ถ้าเงินรูเปียนี่เป็นอินโดฯนะ … อย่าสับสน

หนึ่งวันก่อนเดินทาง

สิบเอ็ดโมงกว่าๆ เสี่ยปอนด์ก็ชิลมาเลย ทักแชทมาว่าพาสปอร์ตจะหมดอายุ 16/09/2017 ย้ำว่า 2017 ว่ะ จะเป็นไรมั๊ย … แซ๊ดดด อย่าว่าแต่เหลือหกเดือนเลย นั่นมันเหลือแค่ 10 วันเอง ไม่น่าจะออกนอกประเทศได้ …  ตอนนี้คือ เรามาดูกันว่าจะเหลือใครไปถึงอินโดซักคนมั๊ย …

#ข้างบนนั้นเขียนตอน 12.15น. ของวันที่ 5 กันยายน ตอนปอนด์กำลังขับรถไปทำพาสปอร์ตที่แจ้งวัฒนะ #ลุ้นมาก

ตอนนี้ปอนด์ทำพาสปอร์ตใหม่เสร็จแล้ว กำหนดรับวันพรุ่งนี้ 10.30 น. …

แต่ว่าเครื่องออก 12.50 น. เรามาลุ้นกันต่อไป …

00.50น. ของวันที่ 5 กันยา ปอนมาถึงบ้านแล้ว เพื่อจะนอนใกล้ๆกงสุลจะได้ไปเอาพาสปอร์ตแต่เช้า เราตกลงกันว่า ถ้าไม่ทันไฟลท์ที่จองไว้ ก็หาเครื่องตามไปเองนะ ไปเจอกันที่สนามบินสุราบายา

จนแล้วจนรอด ก็ได้พาสปอร์ตตั้งแต่เช้า ประมาณแปดโมงครึ่งก็รับได้เลย ถือว่ารอดตัวไป

สาระเพิ่มเติมคือ ทำพาสปอร์ตแบบด่วน มีความด่วนสองระดับ คือ ระดับ 3000 บาท ต้องมาทำก่อนเที่ยง แล้วจะได้ภายในวันเดียวกัน กับระดับ 2000 บาท ที่จะได้คืนวันรุ่งขึ้น ทั้งสองแบบรับทำจำกัดจำนวนต่อวัน

แค่เริ่มก็ตื่นเต้นแล้ว …

 

เมื่อวันเดินทางมาถึง

เราเดินทางกันด้วยสายการบินแอร์เอเชีย แล้วเนื่องจากว่าไม่มีสายการบินไหนบินตรงไปสนามบินสุราบายา (SUB) เลย เราก็ต้องไปแวะที่มาเลย์กันก่อน แถมไฟลท์เหมือนจะโดนเลื่อนเล็กน้อยด้วย กลายเป็นบินจากไทยไปสุราบายานี่ใช้เวลารวมๆแทบจะเท่าบินไปญี่ปุ่นเลย

แถมมีเรื่องตลกของ Timezone ด้วย คือไทยกับมาเลย์เนี่ย เวลาห่างกัน 1 ชม. แต่ไทยกับเกาะชวานั้นใช้เวลาโซนเดียวกัน พอเราบินไปแวะมาเลย์ก่อนแล้วบินต่ไปเกาะชวาก็จะงงๆว่าไฟลท์มันกี่โมง บินกี่ชม.กันแน่  ที่ตลกกว่านั้นคือ ตอนหลังพอเราข้ามไปเกาะบาหลีนั้น เวลานั้นเปลี่ยนไปเท่ากับที่มาเลย์อีก งงดีแท้

ออกเดินทางจากไทยตอนประมาณเที่ยง ถึงสนามบินสุราบายาตอนสามทุ่มครึ่ง ผ่านตม.อะไรออกมาก็สี่ทุ่ม เจอกับไกด์ ซึ่งจริงๆเรานัดกับคนพ่อเอาไว้ แต่ตอนมาถึงกลับกลายเป็นลูกเค้าซึ่งเป็นผู้หญิง !! .. แล้วเราก็ได้รู้ว่า ออกไปมันไม่มีอะไรกินแล้วนะ แล้วเราจะต้องเดินทางไปที่พักที่ใกล้กับภูเขาไฟโบรโม่ (Bromo) ซึ่งห่างออกไปประมาณ 4 ชม. เราเลยรองท้องกันด้วยอาหารในสนามบิน ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรให้เลือกมากนัก

หลังจากนั่งรถต่อมาอีก 4 ชม. ก็มาถึงที่พัก ระยะทางไม่น่าจะไกลมาก แต่ถนนเป็นถนนสองเลนเล็กๆตลอดทาง แถมถนนเป็นหลุมเป็นบ่อประปราย ใช้ความเร็วได้น้อยมาก น่าจะประมาณเดียวกับเวียดนามเลย

Bromo

โบรโม่ – อีเจียน

เช้าวันแรกที่โบรโม่ เริ่มจากตื่นนอนตีสาม เพื่อจะออกเดินทางอีกประมาณชม.นึงไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ก่อนดูพระอาทิตย์ขึ้นเราก็รองท้องด้วย กล้วยทอดกับถั่วทอดกับ กับเข้าห้องน้ำเล็กน้อย … พูดถึงเรื่องห้องน้ำ ทางอินโดฯ โดนเฉพาะฝั่งเกาะชวานี่ห้องน้ำแทบจะต้องจ่ายตังเสมอ 5-7 บาท แล้วแต่ที่ไป

หลังจากรองท้องเสร็จ เราก็มารอดูพระอาทิตย์ขึ้น หลังจากนั้นก็ลงไปดูโบรโม่กัน ระหว่างทางมีแวะถ่ายรูปกับรถจิ๊ปที่ใครๆก็ต้องถ่าย ทำให้คิดได้ว่า การจะมาที่นี่ควรจะเป็นเป็นกรุ๊ปเล็กไม่เกินสี่คน หรือไม่งั้นก็ 7-8 คนไปเลย เพราะคันนึงก็นั่งได้แค่สี่คนเอง ของเรามีไกด์มาด้วย คนขับอีกหนึ่งคน เราก็นั่งกลิ้งไปกลิ้งมาข้างหลังกัน

ปล. รถจิ๊ปไม่มีแอร์ ในโบรโม่เดินทางด้วยรถจิ๊ป แต่ที่เหลือเดินทางด้วย Toyota Avanza

ตอนขึ้นไปดูโบรโม่ก็จะต้องเดินจากจุดจอดรถไปประมาณกิโลกว่าๆได้ และแน่นอนว่าผู้ชายถึกๆสามคนอย่างเราก็ต้อง … ขี่ม้า เอาสิ 555+

มุมมหาชน ต้องถ่ายกับรถจิ๊ป
ขี่ม้าไปตรงตีนเขา เพื่อเดินขึ้นไปดูปากปล่องที่อยู่สูงสุดตรงกลางภาพ

 

 

หลังจากดูปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ ที่ซึ่งไม่มีที่กั้นอะไรเลย เดินไปไกลแค่ไหนก็ได้ตามที่ใจต้องการ ถ้าไม่กลัวความสูง .. เราก็ไปดูทุ่งหญ้าสะวันนากันต่อ วิวสวยดี ทุ่งหญ้าที่มีพื้นหลังเป็นหน้าผาสูงๆสีเขียวๆ

จริงๆที่เค้าพามาดูคือทุ่งหญ้าด้านหลัง แต่กลับรู้สึกว่าภูเขาด้านหน้าก็ให้ความรู้สึกไม่เลว

หลังจากเสร็จสิ้นการชมโบรโม่ เราก็กลับที่พัก กินข้าวพักผ่อน เตรียมตัวไปดูน้ำตกตอนบ่าย

ด้วยความที่เป็นคนเตรียมพร้อมมาก เอารองเท้าไปสองคู่ คือผ้าใบเดินป่าพร้อมลุย กับรองเท้าผ้าสบายๆไว้ใส่ในเมือง .. แล้วรองเท้าที่เปียกน้ำได้สำหรับเข้าน้ำตกล่ะ … ก็ซื้อสิคับ ได้แตะหนีบขายหน้าน้ำตกมาในราคาไม่แพงเกินไป (จำราคาไม่ได้ล่ะ) แต่จำได้ว่าราคาพอๆกะเสื้อกันฝนแบบใช้แล้วทิ้งหนึ่งตัว

น้ำตกอันนี้ส่วนตัวถือให้เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดตั้งแต่เคยไปเที่ยวน้ำตกมา ละอองน้ำปลิวไสว ต้องเดินผ่านม่านน้ำก่อนเข้าไป น้ำตกที่ไหลเป็นทางตรงลงมาจากความสูงเป็นร้อยเมตร ต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่ระหว่างทางที่สวยงาม ดูเหมือนไม่มีใครไปแตะต้องมันแม้แต่น้อย 🙂

น้ำตกที่ของจริงสวยมาก
ละอองน้ำประทะแสงแดด

จบทริปสำหรับวันแรก ขากลับแวะกิน สเต๊ะไก่ กับ แพะ ได้เรียนภาษาอินโดมาคำนึงคือ Ayum แปลว่าไก่ (ตอนหลังมีคนสอนออกเสียง ว่าให้ออกเสียงเหมือนเวลาพูดว่า I am)

สเต๊ะไก่ + แพะ

วันที่สอง เราออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอีกเช่นก่อน คราวนี้ตื่นตีสี่ ดูพระอาทิตย์ขึ้นจากอีกมุมนึง หลังจากนั้นพักผ่อน แล้วก็เดินทางต่ออีก 6 ชม. เพื่อเอาตัวไปอยู่ใกล้ๆ เหมืองซัลเฟอร์อีเจี้ยน (Ijen) ที่เราจะไปดูในวันรุ่งขึ้น

ก่อนแสงแรกของวัน
วิวจากหน้าที่พัก

หลังจากถึงที่พัก เราก็หลับกันตื่นนึง .. จริงๆต้องบอกว่าเที่ยวโบรโม่กับอิเจี้ยนฝั่งเกาะชวานี่ ถ้าว่างเป็นนอน เนื่องจากตื่นเช้ากันมาก เหนื่อยสะสมพอสมควร หลังจากนั้นก็ออกไปกินอาหารโลคอลใกล้ๆรร. ก่อนที่จะกลับมานอน เพราะต้องตื่นตีหนึ่งเพื่อขึ้นไปดูเปลวไฟสีน้ำเงิน (Blue flame) ที่เป็นพระเอกของอีเจี้ยน

ตัดภาพมาที่ยังไม่ตีหนึ่งดี ไกด์ของเราก็มาเคาะห้องเรียกล่ะ ลืมเล่าว่าไกด์นี่ Proactive มาก คือเรียกก่อนถึงเวลา 15 นาทีเสมอ .. เราก็ต้องพร้อมก่อนหน้านั้นอีก เพื่อนจะให้ว่าไกด์เคาะห้องแล้วสามารถเปิดประตูได้

จากรร.เดินทางอีกหนึ่งชม. มาถึงจุดปล่อยตัว รร.ก็ดีมาก เตรียมอาหารเช้ามาให้ เป็นขนมปังปิ้ง กับไข่ต้ม กินร้องท้อง เข้าห้องน้ำเรียบร้อย ตีสองเราก็ออกเดินกัน ก่อนออกเดินมีแจกหน้ากากกันแก๊ซ เพราะว่าเวลาไปใกล้ๆแล้วจะมีควันซัลเฟอร์ที่เหม็นแล้วก็น่าจะอันตรายมาก เราได้รับการมอบหมายให้เดินทางไปกับไกด์อีกคนที่น่าจะดูและการขึ้นอีเจี้ยน รวมกลุ่มกับคนไทยอีก 5 คน .. แต่เมื่อออกเดินไปเรื่อยๆ เราก็พบว่า ด้วยความฟิตของปอนด์ทำให้เราเดินกันเร็วมาก ทิ้งกลุ่มคนไทยและไกด์ชนิดไม่เห็นฝุ่น ก็เลยเลยตามเลยไป

Blueflame

อ้อ จริงๆที่นี่เค้ามี Uber ฉบับอีเจี้ยนด้วยนะ นั่งรถกันไปเลย เรียกได้ตลอดทาง มีมารอเป็นระยะๆ ราคาก็ต่อรองกันเอง

Ijen Uber

พอเดินทางมาถึงปากปล่อง ยังมืดอยู่ก็ไม่ค่อยเห็นอะไร เราก็เดินลง จริงๆเรียกว่าปีนดีกว่า ปีนลงไปดูเปลวไฟสีน้ำเงิน ดูด้วยตาเปล่าสวยดี แต่ถ่ายรูปยากหน่อย คนเดินควักไขว่ ลมพัดไปมา พวกเราลงไปถึงที่เปลวไฟประมาณตีสี่กว่าๆ พอเริ่มสว่างก็เริ่มเดินขึ้น แล้วเพิ่งเห็นว่าที่เดินๆลงไปนั้น ตรงใกล้ๆเปลวไฟนี่เป็นซัลเฟอร์สีเหลืองอ๋อยเลย ตอนปีนป่ายนี่กลิ่นติดมือมาอีกนานเลย

Sulfur mine : Ijen

ตัดภาพตอนเดินลงกลับมาถึง ไกด์เราก็ทำหน้าตาแปลกใจที่เราลงมาถึงข้างล่างช่วงเจ็ดโมงกว่าๆ เร็วกว่าที่คาดไว้ 🙂

บาหลี

หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่น่าเรือ Ferry เพื่อข้ามไปยังเกาะบาหลี

Ferry

ตอนแรกเราวางแผนไว้ว่าฝั่งบาหลีเราจะเที่ยวกันเอง แต่ก็พบว่าที่พักสองคืนแรกในบาหลีนั้น อยู่ที่ Ubud (อูบุดนะ ไม่ใช่อุบาว์ท) ซึ่งไมค่อยมีขนส่งสาธารณะ เราก็เลยติดต่อเช่ารถพร้อมคนขับให้มารับที่ท่าเรือไปส่งรร. พร้อมกับพาเที่ยวแถวๆอูบุดวันรุ่งขึ้นอีกหนึ่งวัน ระหว่างทางไปโรงแรมเราแวะวัด (มั้ง) Thana lot ด้วย

 

วันแรกในบาหลีไปเที่ยวนาขั้นบันได วัด Pura Tirta Empul ที่เค้าไปอาบน้ำกัน แวะชิมกาแฟขี้ชะมด วัดเบซากีห์ (Besakih)

นาขั้นบันได
Pura Tirta Empul

Besakih

วันที่สอง วันนี้เราต้องย้ายรร.ไปนอนกันที่ Kuta เป็นหาดที่คึกคักหน่อย อารมณ์คล้ายๆพัทยาหรือภูเก็ต แต่บ้านเค้าไม่สายดาร์คขนาดพัทยาบ้านเรามั้ง ก่อนจะเข้าเมือง เช้ามาก็ปั่นจักรยาน (ฟรี ของรร.) ไปตลาดที่อูบุดกันก่อน ช้อปปิ้งเล็กน้อย พอหอมปากหอมคอ .. ความยากคือของที่นี่มันต้องต่อ ต่อชนิดที่ว่าควรต่อให้ได้มากกว่าครึ่งนึง บอกมา 200 นี่ควรซื้อต่ำกว่า 100 … แม่งยากเกิ๊นนน …

Ubud Market

ปล. แต่ก็ได้กางเกงพริ้วๆใส่นอนมาสองตัว ให้เสี่ยเบิร์ดช่วยต่อให้

ตัดภาพกลับมาที่รร. หลังจาก checkout เราก็หารถมารับจาก อูบูดไปคูตา … ประมาณ 750 บาทมั้ง …

 

ไปถึงก็หาอะไรกิน เช็คอินรร. แล้วก็เดินไปดูลาดเลาที่หาด ตั้งใจว่าจะต้องลองเล่น Surf ให้ได้ เดินไปเดินมาก็เดินกลับมารร. ตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวกัน

มีความตลกเล็กๆของการเติมน้ำมันที่นี่ด้วย น้ำมันที่อินโดฯไม่แพง เวลาเติมเราก็จัดเต็มถังไปเลย ทำให้ได้พบว่าเงินรูเปียที่เล็กที่สุดคือเหรียญ 500 IDR เพราะงั้นถ้าเติมเต็มถังแล้วเศษเงินระหว่างนั้นก็โดนปัดขึ้นทั้งหมด … ถึงว่าคนอื่นๆเค้าไม่เติมเต็มถังกัน มันขาดทุนนี่เอง

ต่อคิวเติมน้ำมัน

ได้รถมาเราก็แว๊นไปเที่ยววัด … (เที่ยววัดเยอะนะ) ลืมเล่าว่ามาฝั่งบาหลีนี่ คนพูดภาษาอินโดฯใส่รัวๆเยอะมาก เช่นจนท.เก็บตังค่าเข้าอุทยานเอย แม่ค้าเอย คนที่โรงแรมเอย พูดแล้วก็ตลกดี มื้อเย็นเรากินอาหารทะเลกัน เป็นชุด มีกุ้งหอยปูปลาครบ ออกแนวย่างๆหน่อย แต่สรุปแล้วว่าของบ้านเราอร่อยกว่าเยอะ ของเค้าเป็นย่างแบบเดียวกันหมดไม่ว่าจะเป็นอะไร

อาหารทะเล มันก็จะดำๆหน่อย

วันที่สาม เราตื่นเช้ากินข้าว แล้วพุ่งตรงไปที่ชายหาด เพื่อไปลองเล่น Surf กัน ค่าใช้จ่ายตกประมาณคนละพันกว่าบาท อันนี้เรียนกับโรงเรียนอย่างเป็นทางการเลย ชื่อ Odyssey surf school

คอร์สแบบ 2.5 ชม. มีวันละสองรอบคือ 10 โมงเช้า กับ 4 โมงเย็น เราขี่มอไซค์ไปกันถึงประมาณ 10.15 ก็เลยตัดสินใจเรียนรอบสิบโมงนั่นแหล่ะ ช้าไปหน่อยนึงไม่เป็นไร ทางรร.มีเตรียมเสื้อใส่เล่นเซิร์ฟ น้ำดื่ม ล้อกเกอร์ และผ้าเช็ดตัวให้ รวมในราคานั้นแล้ว เล่นไปสองชม.ครึ่ง เล่นเอาหมดแรงเหมือนกัน แต่ก็สนุกดี ใครไปแนะนำให้ลองเล่น จังหวะที่คลื่นดันบอร์ดไปแล้วเราค่อยๆยืนขึ้นค้างอยู่บนบอร์ดมันรู้สึกดีเลยทีเดียว ดูซอฟท์กว่าพวก Flow house ที่เป็น surf ในร่ม อันนั้นหล่นแล้วโดนพัดแรงมาก

เล่น Surf เสร็จก็กินพิซซ่ากัน แล้วขับรถเที่ยวอีกสองหาด หลังจากนั้นก็ไปจบลงบนเตียง เนื่องจากเหนื่อยสะสมแล้วก็หมดแรงไปกับ surf ด้วย .. มื้อเย็นก็กินร้านอาหารออกแนวไทยๆ ใกล้ๆที่พักแล้วก็กลับรร.นอน

 

วันสุดท้ายตื่นเช้ามาก็เรียกแท็กซี่ไปส่งสนามบิน ขึ้นเครื่องกลับบ้านเป็นอันจบทริปโดยสมบูรณ์

เรื่องแท็กซี่นี่ก็ต้องเล่า ที่บาหลีนี่จะมีแท็กซี่มิเตอร์ที่บริการดีๆอยู่ ชื่อว่า Blue bird เป็นรถสีน้ำเงิน แต่ว่าต้องสังเกตดีๆนะ เพราะที่วิ่งๆอยู่นี่มีอีกสองสามเจ้า ที่ชื่อคล้ายกันมาก Blue Bros บ้าง สีก็ฟ้าเหมือนกัน เฉดต่างกันเล็กน้อย .. คือก็กะให้เข้าใจผิดนั่นแหล่ะ – -”

อีกเรื่องที่ขอจดไว้หน่อยก็คือ ทริปนี้ตั้งใจไว้หนวดก่อนไป (ประมาณ 7-8 วัน) กะว่าเนียนเป็นชาวอินโดฯเต็มที่เลย ไปถึงก็ได้ผลอย่างที่เล่า ทักอินโดฯใส่รัวๆเลย แต่ก็แอบเสียใจว่ารูปตัวเองที่ถ่ายมา หน้าโจรมากจนแอบเสียดายว่า ไม่มีรูปหน้าดีๆกับเค้าเลย – -”

เน้นรายละเอียดฝั่งโบรโม่เยอะหน่อย เพราะคิดว่าบาหลีชิล ไม่ต้องเตรียมอะไรเยอะหรอก ไปหาเอาดาบหน้ายังได้เลย

 

อื่นๆมีดังนี้

ค่าซิมการ์ดถูกมาก เน็ตเร็วด้วย ค่าซิมร้อยกว่าบาทเพียงพอสำหรับทริป 8 วันเน็ตเร็วดีด้วย

ค่าครองชีพถือว่าถูกกว่าไทยนะ

ฝั่งเกาะชวาเวลาเท่ากับไทย ในขณะที่บาหลีเร็วกว่าเราหนึ่งชม.

ฝั่งเกาะชวาส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ไม่มีหมูกิน ไม่มีแอลกฮอลขาย

รถขับกันช้ามาก เพราะถนนส่วนใหญ่สองเลน สี่เลนก็มี แต่มอไซค์ก็กินไปเลนนึงล่ะ

ภาษาอังกฤษคนท้องถิ่น(รวมถึงคนขับรถ)อยู่ในระดับงงๆ คือคุยได้ รู้เรื่องมั๊ยอีกเรื่องนึง … หรืออาจจะเป็นเพราะเรางงเอง

เช่ามอไซค์ที่บาหลีไม่ต้องใช้ใบขับขี่ แต่อย่าให้โดนจับละกัน

จบฮะ .. เจอกันทริปถัดไป

 

 

 

1 Comment

  1. […] เรานัดเจอกันที่สนามบินดอนเมืองตีห้า เพื่อขึ้นเครื่องแปดโมงเช้า แน่นอนว่าคนที่มาช้าที่สุดก็คือคนที่พาสปอร์ตหมดอายุในทริปโบรโม่นั่นเอง 555+ […]

Comments are closed.

Scroll to top